วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การเพิกถอนการฉ้อฉล

การเพิกถอนการฉ้อฉล
การเพิกถอนการฉ้อฉลนั้นเป็นหลักกฎหมายซึ่งมุ่งคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ เช่เดียวกับการใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนีและสิทธิยึดหน่วง การเพิกถอนการฉ้อฉลนี้เป็นสิทธิของเจ้าหนี้ในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ สืบเนื่องจากกฎหมายประสงค์จะรับรองสิทธิของเจ้าหนี้ในการที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ได้โดยสิ้นเชิง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 214 ทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้ถือว่าเป็นหลักประกันการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ ดังนั้นถ้าลูกหนี้ทำให้กองทรัพย์สินของตนลดน้อยลงโดยทุจริตซึ่งกฎหมายเรียก ว่า “การฉ้อฉล” ทำให้เจ้าหนี้เสียหายโดยการทำให้ทรัพย์สินไม่เพียงพอที่เจ้าหนี้จะบังคับชำระหนี้ ใต้แล้ว กฎหมายจึงให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ในการที่จะขอให้ศาลเพิกถอนการกระทำที่เป็นการฉ้อฉลที่ ลูกหนี้ได้ทำลงนั้นได้
หลักเกณฑ์การเพิกถอนการฉ้อฉล
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 23บัญญัติว่า
"เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้
บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน"
จากบทบัญญัติดังกล่าว สามารถสรุปหลักเกณฑ์ในการที่เจ้าหนี้จะฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลของลูกหนี้ได้ดังนี้
1.       ต้องมีหนี้ระหว่างเจ้าหนี้ลูกหนี้อยู่ก่อน
ผู้ที่จะเพิกถอนการฉ้อฉลได้ ต้องเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของหนี้หรือสิทธิเรียกร้องที่ผูกพันกันอยู่ ถ้าไม่มีหนี้ที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ก็ไม่มีเจ้าหนี้ที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้เช่นกัน[1] เพราะการเพิกถอนการฉ้อฉลเป็นผลแห่งหนี้นั้นเอง
ส่วนกรณีเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 1300 หรือการใช้สิทธิ ตามเอาทรัพย์คืนจากผู้ที่รับโอนไปจากบุคคลทีไม่มีอำนาจตามมาตรา 1336 เป็นเรื่องกฎหมายทรัพย์สินตามบรรพ 4 จึงมิใช่การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237
2.       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมขึ้นมาภายหลังก่อหนี้ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ ตามข้อที่ 1
ก.    ภายหลังก่อหนี้ตามข้อ 1 ลูกหนี้ทำนิติกรรมซึ่งเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้ และนิติกรรมดังกล่าวทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
ข.    ลูกหนี้ต้องเป็นผู้ทำนิติกรรมนั้นเอง เจ้านี้จึงจะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นได้
-       เจ้าหนี้เป็นผู้ทำขึ้นเอง ลูกหนี้มิได้เป็นผู้ทำ เจ้าหนี้ก็ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามมาตรา 237 ไม่ได้[2]
-       ผู้ทำนิติกรรมเป็นผู้อื่นทีไม่ใช่ลูกหนี้ของหนี้นั้น เจ้าหนี้ก็ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นไม่ได้[3]
3.       การกระทำของลูกหนี้ต้องเป็นการทำนิติกรรม
ก.      การฟ้องขอเพิกถอนการฉ้อฉลต้องเป็นการฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมที่ลูกหนี้ก่อให้เกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่นิติกรรม เจ้าหนี้จะขอเพิกถอนตามมาตรา 237 ไม่ได้ แม้ว่าการกระทำนั้นจะทำให้กองทรัพย์สินของลูกหนี้น้อยลงก็ตาม ดังจะกล่าวต่อไปนี้
-      นิติเหตุ อาทิเช่น กรณีลูกหนี้ไปทำละเมิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือต้องเสียเงินเป็นค่าใช้จ่าย ในการจัดการงานนอกสั่ง
-       การกระทำบางอย่างคล้ายนิติกรรม เช่น การที่ลูกหนี้ยื่นฟ้องคดีต่อ ศาลซึ่งมีการเสียค่าธรรมเนียมศาล
ข.      การบังคับใช้บทบัญญัติว่าด้วยเรื่อง นิติกรรม ในการเพิกถอนการฉ้อฉล
-       บทนิยาม ต้องเป็นการแสดงเจตนาที่ชอบด้วยกฎหมายด้วยใจสมัครมุ่งโดยตรงต่อการผูก นิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับสิทธิ[4]
-       แต่นิติกรรมใดที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็นโมฆะ[5] ย่อมไม่เกิดผลอยู่แล้วจึงไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล[6]
ค.      อาจเป็นเป็นนิติกรรมสองฝ่ายอาทิ เช่น ซื้อขาย เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ หรือ นิติกรรมฝ่ายเดียวก็ได้ เช่น การปลดหนี้[7]
ง.       นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นต้องเกี่ยวกับกองทรัพย์สิน หรือ มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิทธิในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ เท่านั้น
มาตรา 237 วรรคสองใช้คำว่า “…นิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน....นิติกรรมที่ทำขึ้นต้องเกี่ยวกับกองทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือ มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิทธิในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ เท่านั้น
จึงจะฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมตามมาตรา 237 ได้ นิติกรรมใดๆ ที่มิได้มี วัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินไม่ได้ แม้นิติกรรมนั้นจะเป็นการฉ้อฉลก็ตาม เพราะ หากไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อกองทรัพย์สินของลูกหนี้ เจ้าหนี้ก็ไม่เสียเปรียบ ฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมไม่ได้
-       แม้จะมีผลกระทบต่อกองทรัพย์สินของลูกหนี้ แต่ถ้าหากนิติกรรมที่มิได้มี วัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน เจ้าหนี้ก็ฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมไม่ได้ ได้แก่
·       นิติกรรมอันเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว เช่น นิติกรรม เรื่องการสมรสและการหย่า กล่าวคือ การที่ลูกหนี้จดทะเบียนสมรสกับหญิงที่เอาแต่ เล่นการพนันอันจะทำให้ทรัพย์สินของลูกหนี้มีแต่จะลดลง รวมทั้ง การรับรองบุตร กล่าวคือ การที่ลูกหนี้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม ลูกหนี้ต้องเลียค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นการอุปการะเลี้ยงดู เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากค่าเลี้ยงดูบุตรบุญธรรม และ เลี้ยงดูบุตร เป็นค่าใช้จ่ายอันลูกหนี้ต้องรับผิดชอบเนื่องจากสถานะของบุคคลไม่ใช่หนี้ซึ่งเกิดจากนิติกรรม
·       การจดทะเบียนหย่าทำให้ต้องมีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาก็เช่นกัน
-       การที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้นั้น สิทธิในทรัพย์สินดังกล่าวต้องเป็นกองทรัพย์สินของลูกหนี้ และไม่จำเป็นต้องเป็นทรัพย์สินที่เป็นวัตถุแห่งหนี้ตามมูลหนี้นั้นหรือเป็นประกันแห่งหนี้นั้นก็ไต้ เว้นแต่เป็นหนี้ที่มีวัตถุเป็นการมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งนิติกรรมที่ลูกหนี้ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบจึงต้องเกี่ยวกับทรัพย์ นั้นโดยตรง
               4.       นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นนั้นทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
-                  กล่าวคือ นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ หมายถึง การเสียเปรียบจากนิติสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ที่เจ้าหนี้จะไม่ได้รับชำระหนี้ มิใช่ความเสียเปรียบระหว่างเจ้าหนี้กับเจ้าหนี้ด้วยกัน หากลูกหนี้มีเจ้าหนี้หลายคน ความเสียเปรียบนี้ หมายถึง นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำให้กองทรัพย์สินของตนเองลดน้อยลง เสื่อมค่า เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่กองทรัพย์สิน หรือ จำหน่ายจ่ายโอน ทรัพย์สินของตนเองไปจนมีทรัพย์สินไม่เพียงพอที่จะทำการชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ได้ ดังนั้น หากนิติกรรมใดที่ลูกหนี้ทำแล้วยังมีทรัพย์สินเหลือพอก็ไม่ถือว่าการที่ลูกหนี้ไต้ทำนิติกรรมลงนั้นทำให้เจ้าหนี้เสียหาย
              5.       ลูกหนี้ทำนิติกรรมโดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
-                 ลูกหนี้ต้องรู้ว่านิติกรรมที่ทำขึ้นนั้นทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบจึงจะขอเพิกถอนตามมาตรา 237 ได้ เนื่องจาก  การเพิกถอนการฉ้อฉล คือ การเพิกถอนการที่ลูกหนี้กระทำโดยไม่สุจริต เป็นการที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมนั้นโดยรู้ว่าจะมีผลทำให้ ทรัพย์สินของตนมีเหลือไม่พอไปชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ กฎหมายจึงให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ที่จะขอเพิกถอน การกระทำของลูกหนี้ได้ แต่ถ้าลูกหนี้จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินไปโดยสุจริตเข้าใจว่ายังมีทรัพย์สินอื่นพอจะนำมาชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้ขอเพิกถอนนิติกรรมนั้นไม่ได้
-                 การรู้ หรือ ไม่รู้ ของลูกหนี้เป็นหลักสำคัญในการพิจารณาความสุจริตของลูกหนี้ ทั้งนี้ไม่ต้องคำนึงว่าลูกหนี้จงใจฉ้อฉลเจ้าหนี้ หรือไม่ กล่าวคือ ลูกหนี้ต้องรู้อยู่ก่อนหรืออย่างช้าที่สุดขณะที่ทำนิติกรรมกับบุคคลอื่น จึงจะถือว่าลูกหนี้ไม่สุจริต อันเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ขอเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ แต่ถ้าขณะทำนิติกรรมนั้นลูกหนี้ไม่รู้ มารู้ภายหลัง เจ้าหนี้ก็ไม่อาจฟ้องเพิกถอนไต้ ทั้งนี้ จะต้องเป็นกรณีที่ปรากฏว่าลูกหนี้รู้จริง ๆ ไม่รวมถึงควรจะรู้ด้วย อย่างไรก็ตามการพิสูจน์ในเรื่องนี้ ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป เพราะเป็นเรื่องภายในจิตใจของลูกหนี้ซึ่งยากจะกำหนดหลักเกณฑ์แน่นอน
-                 กรณีมีเจ้าหนี้หลายคนสำหรับนิติกรรมที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบนั้น เพียงแต่ลูกหนี้รู้ว่าต้องมีเจ้าหนี้ คนใดคนหนึ่งต้องเสียเปรียบจากการกระทำของตนก็เพียงพอแล้วที่เจ้าหนี้จะขอเพิกถอนได้ ไม่ต้องถึงกับรู้ตัวเจ้าหนี้ว่าใครจะต้องเสียเปรียบ
-                 การกระทำที่จะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นการทำ นิติกรรมโอนทรัพย์สินเสมอ นิติกรรมที่เป็นการสละสิทธิหรือประโยชน์หรือทรัพย์สินสิ่ง ใดที่ลูกหนี้ได้ไว้แล้ว ก็ถือเป็นการฉ้อฉลที่สามารถเพิกถอนได้เช่นเดียวกัน
-                 เจ้าหนี้ไม่ว่าจะมีประกันหรือไม่ หรือเป็นเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิหรือไม่ ก็มสิทธิ เพิกถอนการฉ้อฉลได้ ยกเว้นเจ้าหนี้จำนองตามมาตรา 733 เพราะเจ้าหนี้จำนองตาม มาตรา 733 นั้นมีหลักประกันการชำระหนี้อยู่แล้ว และนอกจากหลักประกันนั้นแล้ว เจ้าหนี้ไม่สามารถเรียกชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นๆ ของลูกหนี้ได้อีก ดังนั้น การที่ลูกหนี จะจำหน่ายทรัพย์สินอื่นๆ จึงไม่ทำให้เจ้าหนี้ตามมาตรา 733 เสียเปรียบ นอกจากนี้แม้ ลูกหนี้จะโอนทรัพย์ที่ติดจำนองให้แก่บุคคลอื่น ผู้รับจำนองก็ไม่อาจจะเสียเปรียบได้ เพราะการจำนองนั้นย่อมตกติดไปกับตัวทรัพย์ด้วย
-                 เจ้าหนี้ที่จะขอเพิกถอนการฉ้อฉลต้องเป็นเจ้าหนี้อยู่แล้วในขณะที่ลูกหนีทำ นิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล แต่ไม่จำเป็นว่าหนี้นั้นจะต้องถึงกำหนดชำระแล้ว เพราะ แม้ว่าหนี้ของเจ้าหนี้จะยังไม่ถึงกำหนดชำระก็ลามารถฟ้องเพิกถอนได้
-                 การที่ลูกหนี้ไปก่อหนี้สินเพิ่มขึ้นทั้งๆ ที่หนี้เดิมก็ไม่สามารถจะชำระได้อยู่ แล้ว กรณีนี้เจ้าหนี้คนก่อนไม่อาจจะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการก่อหนี้ใหม่ได้ เพราะการที่ลูกหนี้ไปก่อหนี้ใหม่ไม่ใช่เป็นการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินอันทำให้ตัวเองจนลง แต่ การก่อหนี้เป็นการเพิ่มภาระผูกพันของลูกหนี้เท่านั้น
             6.       ผู้รับนิติกรรมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ได้ลาภงอกมาโดยเสียค่าตอบแทนต้องรู้ถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย
ผู้ได้ลาภงอกหมายความถึง บุคคลที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้ ผู้ที่เป็นคู่กรณีกับลูกหนี้ที่ได้รับประโยชน์ เกี่ยวข้องกับนิติกรรมนั้น ดังนี้ ผู้ที่ได้รับปลดหนี้ ก็ถือว่าเป็นผู้ได้ลาภงอก ที่อาจถูกเพิกถอนนิติกรรมการปลดหนี้ ตามมาตรา 237 ได้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นรับโอนทรัพย์สินจากลูกหนี้
ในการขอเพิกถอนการฉ้อฉล นั้น เจ้าหนี้จะขอเพิกถอนได้นั้น เจ้าหนี้มีหน้าที่จะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าทั้งลูกหนี้และผู้ได้ลาภงอก ทั้งคู่ต่างรู้ว่าการทำนิติกรรมนั้นจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ[8] หรือรู้ว่าลูกหนี้มีทรัพย์ลดลง ไม่เพียงพอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ถ้าผู้ที่มาทำนิติกรรมกับลูกหนี้ไม่รู้ เจ้าหนี้ จะเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองบุคคลทั่วไปที่อาจมาทำนิติกรรมกับลูกหนี้โดยสุจริต การที่ผู้รับนิติกรรมที่ได้ลาภงอกมาโดยเสียค่าตอบแทน หากมีการเพิกถอนนิติกรรมย่อมทำให้ ผู้นั้นได้รับความเสียหาย ดังนั้น แม้ลูกหนี้รู้ว่าทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ผู้รับนิติกรรม ไม่รู้เท่ากับเป็นผู้สุจริตย่อมได้รับความคุ้มครอง จึงไม่อาจเพิกถอนการฉ้อฉลได้
ข้อยกเว้นของหลักการคุ้มครองบุคคลผู้สุจริตตามมาตรา 237
ถ้านิติกรรมที่ลูกหนี้ทำกับผู้ได้ลาภงอกเป็นการให้โดยเสน่หา ไม่ได้เสียค่าตอบแทนแม่ไม่รู้ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองเพราะไม่ได้ รับความเสียหาย เท่ากับว่าลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวก็เพิกถอนการฉ้อฉลได้[9]การขอเพิกถอนทำได้เพียงเจ้าหนี้พิสูจน์ว่า ลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียว ว่าการทำนิติกรรมนั้นทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบก็พอแล้ว ไม่ต้องมีการพิสูจน์ถึงการรู้หรือไม่รู้ของผู้ไต้ ลาภงอก[10] แม้ผู้ได้ลาภงอกไม่รู้ ลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวก็ขอเพิกถอนการฉ้อฉลได้ เพราะถือว่าผู้ได้ ลาภงอกไม่เสียหายอะไร เพราะเป็นการได้มาโดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน
วิธีการเพิกถอนการฉ้อฉล
-                 เมื่อการกระทำใดๆ ของลูกหนี้ ครบตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว เจ้าหนี้สามารถยื่นฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉตามมาตรา 237 ต่อศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลที่ลูกหนี้ทำขึ้น โดยทำเป็นคำร้องฟ้องทั้งลูกหนี้, ผู้ได้ลาภงอก หรือบุคคลภายนอก ผู้เป็นคู่กรณีในนิติกรรมที่จะถูกเพิกถอนการฉ้อฉลทั้งหมดเป็นจำเลยร่วมกัน[11] เจ้าหนี้จะฟ้องเพียงคนใดคนหนึ่งไม่ได้ เพราะถ้าศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรม ย่อมมีผลกระทบต่อลูกหนี้และผู้รับนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 และมาตรา 145 บัญญัติ ห้ามมิให้คำพิพากษาศาลมีผลกระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นคู่ความในคดี[12]
-                 ในการฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลจะมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดี ด้วยกัน 4 คน ได้แก่ เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้ได้ลาภงอก หมายถึง ผู้ที่รับโอนทรัพย์จากลูกหนี้โดยตรง และบุคคลภายนอก หมายถึง ผู้ที่ได้รับโอนทรัพย์จากผู้ที่ได้ลาภงอกอีกชั้นหนึ่ง
-                 เจ้าหนี้ ที่ใช้สิทธิฟ้องคดีเพิกถอนการฉ้อฉลจะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่ฟ้องลูกหนี้ของตนเองแล้ว หรือเจ้าหนี้ที่ยังไม่ได้ฟ้องลูกหนี้ของตนชำระหนี้เลย[13] ก็มีสิทธิฟ้องคดีขอเพิกถอนการฉ้อฉลได้ เพราะการใช้สิทธิเพิกถอนตามมาตรา 237 เพื่อที่เช้าควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ให้มีอยู่
-                 การฟ้องคดีขอเพิกถอนการฉ้อฉลต้องทำภายในอายุความ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 บัญญัติว่า
"การเรียกร้องขอเพิกถอนนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่เจ้าหนี้ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน หรือพ้นสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น"
อายุความในการฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลจะต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่เวลาที่เจ้าหนี้ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรมนั้น (นับแต่ เวลาที่เจ้าหนี้ไต้รู้ว่าลูกหนี้ทำนิติกรรม และรู้ว่านิติกรรมนั้นมีผลทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบด้วย) หากปรากฏว่าเจ้าหนี้ไม่รู้มูลเหตุ อายุความดังกล่าว ก็ยังไม่เริ่มนับ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหนี้ต้องฟ้องขอเพิกถอนดังกล่าว ภายใน 10 ปีนับแต่วันทำนิติกรรม แม้ว่าจะไม่รู้เหตุขอเพิกถอนก็ตาม หากพ้น 10 ปีนับแต่ทำนิติกรรมเสียแล้ว ก็ขาดอายุความเช่นกัน
ตัวอย่าง
A เป็นหนี้ B 1,000,000 บาท A มีบ้านพร้อมที่ดินมูลค่า 1,000,000 บาท นอกจากนี้ A ไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นอีกเลย Aไม่ต้องการให้ทรัพย์สินของตนถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้องบังคับคดี A จึงยกบ้านพร้อมที่ดินของตนให้แก่ นายแดงโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 B สืบทราบว่า A ได้ยกทรัพย์สินชิ้นเดียวของตนให้แก่ นายแดง เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 B จึงได้มาฟ้องคดีต่อศาล เพื่อดำเนินคดีขอเพิกถอนนิติกรรมรายนี้ ดังนี้ การฟ้องคดี ได้ล่วงเลยกำหนดอายุความ 1 ปี มาแล้ว คดีจึงขาดอายุความฟ้องร้องตามมาตรา 240
ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉล
การเพิกถอนการฉ้อฉลไม่ได้ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะเสียเปล่า (คำพิพากษา ฎีกาที่ 179/2536) ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉล คือจะนำเอานิติกรรมนั้นมาใช้บังคับทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบที่ทำให้ทรัพย์สินของลูกหนี้ลดน้อยลงไม่ได้เท่านั้น ผู้ที่ทำนิติกรรมได้ทรัพย์สินไปจะถูก เรียกให้คืนทรัพย์สินกลับคืนสู่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายในการ บังคับชำระหนี้ต่อไป ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉลสามารถพิจารณาได้ตังนี้
                          1.       ผลการเพิกถอนการฉ้อฉลที่เกิดขึ้นในระหว่าง เจ้าหนี้ ผู้ฟ้องคดีขอเพิกถอนต่อลูกหนี้
ทรัพย์สินที่ลูกหนี้จำหน่ายจ่ายโอนไป โดยการฉ้อฉลจะกลับคืนสู่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ ดงเดิม นิติกรรมที่ถูกเพิกถอนกลับสู่สถานะเดิม ไม่ผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามนิติกรรมนั้นต่อไป
                          2.       ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉลในระหว่างเจ้าหนี้ทั้งหลายของลูกหนี้
มาตรา 239 บทบัญญัติว่า “การเพิกถอนนั้นย่อมได้เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้หมดทุกคน
-                 กรณีที่ลูกหนี้มีเจ้าหนี้หลายราย มีเจ้าหนี้รายหนึ่งรู้ว่าลูกหนี้ทำนิติกรรมที่เป็นการฉ้อฉล เจ้าหนี้รายนี้ดำเนินการฟ้องคดีขอเพิกถอนนิติกรรมที่ฉ้อฉล ตามมาครา 237 หากศาลพิพากษาให้ เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว ส่งผลให้นิติกรรมดังกล่าวเป็นอันสิ้นผลไปไม่ถือว่าได้เกิดมีขึ้น ถ้านิติกรรมนั้นเป็นการโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ ทรัพย์สินที่โอนไปย่อมกลับมาสู่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ และทรัพย์สินดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้หมดทุกคน ไม่ใช่เป็นประโยชน์เฉพาะเจ้าหนี้ที่ฟ้องขอเพิกถอนการฉ้อฉลเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจาก การฟ้องคดีขอเพิกถอนการฉ้อฉล เป็นการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ ไม่ใช่การบังคับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่ฟ้องคดีขอเพิกถอนการฉ้อฉลตาม มาตรา 239
-                 แต่กรณีที่ผู้ซื้อฟ้องบังคับให้เพิกถอนการโอนทรัพย์สินระหว่างผู้ชายกับบุคคล ภายนอกและโอนทรัพย์สินนั้นมาเป็นของผู้ซื้อ ผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ย่อมได้ ประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว[14]
-                 ส่วนกรณีที่ผู้ที่จะได้สิทธิภาระจำยอมตามสัญญาฟ้องผู้ที่จะต้องจดทะเบียน ทางภาระจำยอมและผู้รับโอนที่ดินขอให้โอน ที่ดินกลับมาเป็นของผู้ที่จะต้องจดทะเบียน ทางภาระจำยอม และให้จดทะเบียนทางภาระจำยอมให้ ย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์เท่านั้น[15]
3.    ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉลระหว่างลูกหนี้กับผู้ได้ลาภงอก
การเพิกถอนการฉ้อฉลไม่ไต้ทำให้นิติกรรมระหว่างลูกหนี้กับผู้ไต้ลาภงอกเป็นโมฆะหรือ เป็นโมฆียะ นิติกรรมระหว่างลูกหนี้กับผู้ได้ลาภงอกยังมีผลสมบูรณ์ระหว่างกันเอง แม้ภายหลังที่ เจ้าหนี้จะได้ขอเพิกถอนไปแล้ว บุคคลภายนอกมีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ต้องรับผิดต่อกันได้หรือไม่ ต้องดูว่านิติกรรมที่ทำระหว่างลูกหนี้กับผู้ได้ลาภงอกเป็นสัญญาอะไรกัน เช่น ถ้าทำสัญญาซื้อขาย เมื่อผู้ซื้อ (ผู้ไต้ลาภงอก) ไม่สามารถไต้สิทธิในทรัพย์สินนั้นได้สมบูรณ์ เพราะมีเจ้าหนี้มาก่อการ รบกวนสิทธิของผู้ซื้อ ถือว่าเป็นการรอนสิทธิตามมาตรา 475 แต่ในการเพิกถอนการฉ้อฉลที่เกิดขึ้น นั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ผู้ซื้อ (ผู้ได้ลาภงอก) รู้อยู่แล้วในตอนทำสัญญาว่าจะถูกรอนสิทธิเพราะรู้ว่าเป็นการ ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่รู้อยู่ในเวลาซื้อขายว่ามีผู้อื่น (เจ้าหนี้ที่จะฟ้องเพิกถอน) ที่มีสิทธิเหนือกว่า ด้งนั้นจะเรียกร้องให้ผู้ขาย (ลูกหนี้) ให้ต้องรับผิดไม่ได้ตามมาตรา 476
กรณีที่นิติกรรมที่ถูกเพิกถอนการฉ้อฉลเป็นการให้โดยเสน่หา (มาตรา 521) เป็นการที่ ผู้ได้ลาภงอกได้มาโดยไม่เสียค่าตอบแทน ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจึงไม่มีค่าเสียหายใดๆ ที่จะเรียกร้องได้ อนึ่งหลักการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ทั้งกรณีการใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ก็ดี การ เพิกถอนการฉ้อฉลก็ดี ข้อเท็จจริงในบางกรณีเจ้าหนี้อาจต้องใช้ทั้งสองหลัก คือฟ้องคดีทั้งใช้สิทธิ เรียกร้องของลูกหนี้ร่วมกันฟ้องขอเพิกถอนการฉ้อฉล ตัวอย่าง การที่ลูกหนี้ปลดหนี้แก่ผู้ไต้ลาภงอก เป็นการให้โดยเสน่หา เมื่อเจ้าหนี้พิสูจน์หลักเกณฑใต้ตามมาตรา ๒๓๗ เพื่อขอเพิกถอนการฉ้อฉล นิติกรรมการปลดหนี้แล้ว มีผลทำให้ผู้ใต้ลาภงอกกลับมามีหนี้กับลูกหนี้ ด้งนี้เมื่อลูกหนี้มีเจตนา ปลดหนี้ให้ลูกหนี้ของตนเช่นนี้ลูกหนี้คงไม่เรียกร้องให้ผู้ได้ลาภงอกชำระหนี้ ดังนั้นเมื่อลูกหนี้ไม่ใช้ สิทธิเรียกร้อง เจ้าหนี้จึงต้องฟ้องคดีเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ด้วยเลยตามมาตรา 233[16]
เมื่อนิติกรรมนั้นถูกศาลพิพากษาเพิกถอน ผู้รับ นิติกรรมก็ไม่ไต้สิทธิตามนิติกรรมนั้นที่จะบังคับเอาแก่ลูกหนี้!ต้ ถ้าเป็นการยื่นคำร้องขัด ทรัพย์ขอปล่อยทรัพย์สินที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ศาลก็ต้องสั่งยกคำร้องขัดทรัพย์และนำทรัพย์ที่ยึดนั้นมาดำเนินการขายทอดตลาดต่อไป ส่วนผู้รับนิติกรรมซึ่งเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินจากลูกหนี้และชำระราคาแล้วย่อมเรียกเงิน คืนได้ฐานลาภมิควรได้
                          4.       ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉลต่อบุคคลภายนอก
-                 บุคคลภายนอกในที่นี้ หมายความถึง ผู้รับโอนทรัพย์สิน รวมทั้งสิทธิประโยชน์ มาจากผู้รับนิติกรรมอีกทอดหนึ่งมิใช่ผู้ได้ลาภงอกซึ่งทำนิติกรรมกับลูกหนี้ [17]
-                 อย่างไรก็ตาม แม้บุคคลภายนอกไม่ใช่ผู้ได้มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แต่เจ้าหนี้มิได้ฟ้องบุคคลภายนอกเป็นจำเลยด้วย ศาลก็พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรม นั้นไม่ได้[18]
-                 บุคคลภายนอกที่จะได้รับความคุ้มครอง ต้องเป็นผู้ได้ทรัพย์สินมาก่อนเจ้าหนี้ ยื่นฟ้อง และต้องได้มาโดยสุจริต คือ ไม่รู้ว่ามีการฉ้อฉลเกิดขึ้นมาก่อน แต่ถ้าได้มา โดยเสน่หา แม้จะสุจริตก็ถูกเพิกถอนไต้ อย่างไรก็ตามถ้าบุคคลภายนอกไต้มาโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน ซึ่งไม่อาจเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ได้แล้ว แม้ลูกหนี้ ไม่สุจริตศาลก็ไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นไต้ต้องพิพากษายกฟ้องทั้งคดี เว้นแต่เป็นกรณีที่ลูกหนี้เป็นหนี้ที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ และเจ้าหนี้ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล โดยมีคำขอด้วยว่าหากโอนกรรมสิทธิ์ไม่ไต้ก็ให้ ลูกหนี้ใช้ราคาแทน ศาลย่อมพิพากษาให้ลูกหนี้ใช้ราคาแทนได้ คงยกฟ้องเฉพาะผู้รับ นิติกรรมและบุคคลภายนอก ความสุจริตพิจารณาขณะที่ได้มา มิใช่ขณะที่เจ้าหนี้ยื่นฟ้อง ถ้าขณะได้มามี ความสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 238[19] แล้ว แม้ภายหลังก่อนที่เจ้าหนี้ยื่น ฟ้องจะรู้ความจริงว่าลูกหนี้ต้องฉ้อฉลเจ้าหนี้ ก็เพิกถอนไม่ไต้
บัญญัติแห่งกฎหมายที่ยกเว้นหลักกฎหมายว่าด้วยเรื่องจากการเพิกถอนตามมาตรา 237
ก.      เรื่องการสละมรดก ตามมาตรา 1614 กล่าวคือ ถ้าทายาทสละมรดกด้วยวิธีใดโดยที่รู้อยู่ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้เจ้าหนี้ของตนเสียเปรียบเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะร้องขอให้เพิกถอนการสละมรดกนั้นเสียได้แต่ความข้อนี้มิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่สละมรดกนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย
แต่หากกรณีเป็นการสละมรดกโดยเสน่หาเพียงแต่ทายาทผู้สละมรดกเป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้ เมื่อได้เพิกถอนการสละมรดกแล้วเจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลสั่งเพื่อให้ตนรับมรดกแทนที่ทายาทและในสิทธิของทายาทนั้นก็ได้ ในกรณีเช่นนี้เมื่อได้ชำระหนี้ของทายาทนั้นให้แก่เจ้าหนี้แล้วถ้าส่วนของทายาทนั้นยังมีเหลืออยู่อีก ก็ให้ได้แก่ผู้สืบสันดานของทายาทนั้นหรือทายาทอื่นของเจ้ามรดกแล้วแต่กรณี
ข.    เรื่องพินัยกรรมตามมาตรา 1680 กล่าวคือ เจ้าหนี้ของผู้ทำพินัยกรรมมีสิทธิที่จะร้องขอให้เพิกถอนข้อกำหนดพินัยกรรมซึ่งก่อตั้งมูลนิธินั้นได้เพียงเท่าที่ตนต้องเสียประโยชน์เนื่องแต่การนั้น
ค.    เรื่องการประกันชีวิต ตามมาตรา 1742 ถ้าในการชำระหนี้ซึ่งค้างชำระอยู่แก่ตนเจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้รับตั้งในระหว่างที่ผู้ตายมีชีวิตอยู่ให้เป็นผู้รับประโยชน์ในการประกันชีวิต เจ้าหนี้คนนั้นชอบที่จะได้รับเงินทั้งหมดซึ่งได้ตกลงไว้กับผู้รับประกัน อนึ่งเจ้าหนี้เช่นว่านั้นจำต้องส่งเบี้ยประกันภัยคืนเข้ากองมรดกก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้คนอื่น ๆ พิสูจน์ได้ว่า
-          การที่ผู้ตายชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้โดยวิธีดั่งกล่าวมานั้นเป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา237แห่งประมวลกฎหมายนี้ และ
-          เบี้ยประกันภัยเช่นว่านั้นเป็นจำนวนสูงเกินส่วนเมื่อเทียบกับรายได้หรือฐานะของผู้ตาย ถึงอย่างไรก็ดีเบี้ยประกันภัยซึ่งจะพึงส่งคืนเข้ากองมรดกนั้นต้องไม่เกินกว่าจำนวนเงินที่ผู้รับประกันชำระให้



[1] คำพิพากษาฎีกาที่ 1443/2544 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ห. ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจาก ข. ผู้จัดการมรดกอีกคนหนึ่ง จึงไม่ใช่นิติกรรมที่ได้รับความเห็นชอบด้วยเสียงส่วนมากไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 จึงไม่ผูกพันกองมรดกตามมาตรา 1724 การที่ ข. ให้ความยินยอมในภายหลัง ไม่ทำให้นิติกรรมที่ไม่ชอบกลับเป็นนิติกรรมสมบูรณ์ขึ้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้จำเลยที่ 1 และ ข. ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และในภายหลังโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนแล้ว จึงไม่ใช่เป็นการกระทำที่ทำลงโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามมาตรา 237
[2] คำพิพากษาฎีกาที่ 261/2525 การฉ้อฉลหมายถึงนิติกรรมอันลูกหนี้ได้ทำลงโดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 และบุคคลที่จะเป็นโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้คือเจ้าหนี้ หาใช่ตัวผู้ทำนิติกรรมนั้นเองไม่ การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาแบ่งปันมรดกไปฟ้องคดีในอีกศาลหนึ่ง ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาแบ่งปันมรดกที่ตนได้ทำกับจำเลยไว้ แล้วทิ้งฟ้องจนศาลจำหน่ายคดีนั้น ย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นฟ้องนั้นและทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 และย่อมไม่กระทบกระเทือนถึงสัญญาแบ่งปันมรดกคดีนี้แต่อย่างใด
[3] คำพิพากษาฎีกาที่ 790/2538 จำเลยที่ 1 เป็นเพียงภริยาโดยไม่ชอบด้วย กฎหมายของ พ. ลูกหนี้จำเลยที่1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของ พ. เพราะไม่ใช่หนี้ร่วม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 149 จำเลยที่ ต ไม่ใช่ลูกหนี้ของโจทก์ จ้นโจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามบทกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจ ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินและบานพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2
[4] ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149 บัญญัติว่า “นิติกรรม หมายความว่า การใด ๆ อันทำลงโดยชอบ ด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้น ระหว่างบุคคลเพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ
[5] ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 บัญญัติว่า “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดย กฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ
[6] คำพิพากษาฎีกาที่ 5207/2545 อำนาจฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลซึ่งนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงโดยรู้ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ได้บัญญัติให้เป็นอำนาจของเจ้าหนี้ ซึ่งหมายรวมถึงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาด้วย ไม่ว่าจะมีการบังคับคดีแล้วหรือไม่ เมื่อโจทก์อ้างว่าตนเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 ในคดีก่อนและจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทำนิติกรรมยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบอันเป็นการฉ้อฉลโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้
การที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันรีบไปจดทะเบียนหย่าและทำสัญญาแบ่งทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์พิพาทที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมนั้น ถือเป็นทางที่ทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237
[7] คำพิพากษาฎีกาที่ 802/2519 โจทก์จำนองทรัพย์สินไว้แก่บริษัทจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 40,000 บาท แล้วโจทก์เป็นหนี้ค่าเบี้ยประกันบริษัทจำเลย 99,853.90 บาทก่อนบริษัทจำเลยจะถูกฟ้องคดีล้มละลายเพียง 4 วัน โจทก์ได้ชำระเงิน 50,000 บาทให้แก่บริษัทจำเลย โดยบริษัทจำเลยยอมลดหนี้ให้ 49,853.90 บาท และทำหนังสือว่าจะปลดจำนองให้ การที่บริษัทจำเลยยอมปลดหนี้จำนวน 49,853.90 บาท และปลดจำนองให้โจทก์นั้น บริษัทจำเลยได้กระทำต่อโจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นลูกหนี้ ไม่ใช่ในฐานะเจ้าหนี้ กรณีจึงไม่เข้าเกณฑ์ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทจำเลยจะร้องขอให้เพิกถอนได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 115 แต่การที่บริษัทจำเลยแสดงเจตนาจะปลดจำนองและปลดหนี้ดังกล่าวซึ่งเป็นจำนวนสูงให้แก่โจทก์เปล่าๆ ในขณะที่บริษัทจำเลยก็มีหนี้สินล้นพ้นตัว ย่อมเห็นได้ว่าบริษัทจำเลยฝ่ายเดียวได้กระทำลงทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจขอเพิกถอนนิติกรรมปลดหนี้ดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 113 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237โจทก์ยังคงผูกพันที่จะต้องชำระหนี้จำนวนนี้ให้แก่กองทรัพย์สินของบริษัทจำเลยบุคคลล้มละลาย
หนังสือที่ ก. กรรมการบริษัทจำเลยทำให้โจทก์มีข้อความว่า ส่วนการปลดจำนองจะต้องรอใบมอบอำนาจของ ว. ก่อนจึงทำได้ ดังนี้เป็นเพียงแต่บริษัทจำเลยแสดงเจตนาจะปลดจำนองให้เท่านั้น การทำหนังสือปลดจำนองยังมิได้กระทำต่อกัน เพราะการปลดจำนองมีเงื่อนไขอยู่ว่าต้องรอใบมอบอำนาจของ ว. กรรมการผู้จัดการก่อนดังนั้นการปลดจำนองจึงยังไม่ได้เกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744(2) สัญญาจำนองจึงยังไม่ระงับสิ้นไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทจำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงินค่าเบี้ยประกันที่โจทก์ค้างชำระอยู่ ไม่ได้ฟ้องร้องบังคับในเรื่องจำนอง จึงเป็นการฟ้องบังคับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้สามัญเท่านั้น และไม่ปรากฏว่าหนี้สินถึงกำหนดชำระเมื่อใด บริษัทจำเลยเพิ่งเรียกร้องให้โจทก์ชำระหนี้โดยฟ้องแย้ง กรณีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224กล่าวคือหนี้เงินนั้นท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี บริษัทจำเลยจึงชอบที่จะได้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไป
[8] คำพิพากษาฎีกาที่ 344/2536 การรับโอนที่ดินที่พิพาทจากลูกหนี้โดยรู้อยู่แล้วว่า ลูกหนี้เป็นหนี้กับเจ้าหนี้ และเป็นหนี้ที่เรียกเก็บไม่ได้ ด้งนี้เป็นเหตุให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ เจ้าหนี้ย่อมเพิกถอนนิติกรรมการโอนนั้นได้
[9] คำพิพากษาฎีกาที่ 310/2534 แม้จะเป็นการยกให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา ซึ่งผู้ให้จะถอนคืนการให้'เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 3 ไต้รับ การยกให้โดยเสน่หา แม้จำเลยที่ 3 มิไต้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสีย เปรียบ เพียงแต่จำเลยที่ 2 ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝายเดียว ศาลก็เพิกถอนการโอนไต้ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
[10] คำพิพากษาฎีกาที่ 4170/2552 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะจดทะเบียนหย่ากับจำเลย ที่ 2 และบันทึกข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินตามทะเบียนหย่า ระบุว่า ที่ดินพร้อมบ้านยกให้จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 กลับไป จดทะเบียนขายที่ดินและบ้านให้แก่จำเลยที่ 2 พนักงานที่ดินกำหนดราคา 200,000 บาท แต่ความจริงไม่มีการชำระเงิน กัน แสดงว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านเป็นการไม่สุจริต เป็นการให้โดยเสน่หามิใช่ซื้อขาย ด้งนั้นจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ เป็นผู้รู้ว่าตนเป็นหนี้โจทก์ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะฟ้องขอเพิกถอนการฉ้อฉลได้
[11] การฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉล เจ้าหนี้มิได้ทำในนามของลูกหนี้ ดังนั้นจึงทำการเพิกถอนโดยฟ้องต่อศาล ชั้นด้น ถ้าไม่ได้ฟ้องผู้ทำนิติกรรมที่จะเพิกถอน บุคคลนั้นเป็นคนนอกคดี ศาลจะพิพากษาให้เพิกถอนไม่ได้ (คำพิพากษา ฎีกาที 90/2516, คำพิพากษา ฎีกาที 2738/2550 และ คำพิพากษา ฎีกาที 5444/2551)
[12] คำพิพากษาฎีกาที่ 9693/2539 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ประมูลแชร์แล้วไม่ชำระเงินค่าแชร์คืนโจทก์เจ้าหนี้จึงฟ้องคดี ต่อมาจำเลยที่ 1 ขายที่ดินให้จำเลยที่ 3 เพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับคดี แล้วจำเลยที่ 3 ขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันจำเลยทั้งสามได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสีย เปรียบอันเป็นการฉ้อฉล จึงขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินโดยให้จำเลยที่ 1 กลับคืนสู่ฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม การฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 โจทก์จะต้องฟ้องคู่กรณีทั้งสองฝ่ายที่ทำนิติกรรมนั้นเพราะผลของคำพิพากษาไม่อาจบังคับบุคคลนอกคดี แต่คดีนี้แม้โจทก์จะไม่ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามไว้ในสำนวนเดียวกันตั้งแต่ต้น โดยฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีต่างหากก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาและพิพากษารวมกัน ประกอบกับคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 3 ขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 1 โดยรู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ต้องเสียเปรียบกับมีคำขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 และระหว่างจำเลยที่ 3 กับที่ 2ซึ่งศาลจะต้องมีคำพิพากษารวมกัน คำพิพากษาศาลย่อมมีผลผูกพันถึงจำเลยที่ 3 ด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ตรงตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ แต่เป็นเลขโฉนดที่ไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 และระหว่างจำเลยที่ 3 กับที่ 2 โดยมิได้เรียกร้องเอาที่ดินพิพาทมาเป็นของโจทก์ เพียงแต่ขอให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามเดิมเท่านั้น ฟ้องเช่นนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
[13] คำพิพากษาฎีกาที่ 3726/2530 จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ระบุเอาบ้านพิพาทเป็นประกันต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินชำระหนี้จึงตกลงจะไปจดทะเบียนโอนบ้านพิพาทแก่โจทก์แต่จำเลยที่ 1 กลับทำสัญญาซื้อขายจดทะเบียนโอนบ้านพิพาทแก่จำเลยที่ 2 นิติกรรมดังกล่าวจำเลยที่ 1 กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ และจำเลยที่ 2 ซื้อบ้านพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต ดังนี้ โจทก์ย่อมฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
เจ้าหนี้ผู้ที่จะเป็นโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลไม่จำต้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแต่อย่างใด
[14] คำพิพากษาฎีกาที่ 2010/2525 การที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2และ ที่ 3โดยไม่โอนขายให้โจทก์ก่อนตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมเป็นการทำนิติกรรมทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบนั้นด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 และขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้
[15] คำพิพากษาฎีกาที่ 2256/2532 โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 1 ต่างลงชื่อในบันทึกข้อตกลงว่าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินแปลงใหญ่ และได้มาจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมออกจากกันเป็นคนละ 1 แปลง แต่ยังไม่ได้จดภาระจำยอมทางเดินเข้าออกเนื่องจากยังไม่มีโฉนดทุกคนทราบว่าทางเดินกว้าง 6 เมตร และจะมาจดภาระจำยอมเรื่องทางเดินผ่านเมื่อได้รับโฉนดที่แบ่งแยกใหม่แล้ว ดังนี้ เมื่อทุกคนต่างได้รับโฉนดที่แบ่งแยกใหม่แล้วจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลง แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จะขายที่ดินแปลงของตนให้โจทก์ที่ 5 และที่ 6 และโจทก์ที่ 4 จะยกที่ดินแปลงของตนให้โจทก์ที่ 7 ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงไปแล้วก่อนฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดโดยอาศัยสิทธิซึ่งกันและกันก็มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงได้.
การที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินแปลงของตนให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของตนและอาศัยอยู่กับตนโดยเสน่หา ทั้งจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ทราบว่าจำเลยที่ 1ต้องจดทะเบียนทางภาระจำยอมมาตั้งแต่แรก โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นที่ต้องรีบโอนให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ก่อนจดทะเบียนภาระจำยอมเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า ทั้งผู้ยกให้และผู้รับยกให้ต่างทราบดีว่าเป็นทางให้โจทก์เจ้าของที่ดินแปลงข้างในเสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลตามป.พ.พ. มาตรา 237 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการยกให้ได้.
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้เพื่อให้ได้มาซึ่งทางภาระจำยอมเท่านั้น มิใช่ให้โอนที่ดินพิพาทมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การบังคับให้เพิกถอนการให้จึงไม่จำเป็นแก่การบังคับเพื่อประโยชน์ของโจทก์ ทั้งโจทก์ก็มีคำขอให้จำเลยที่ 1 ผู้ยกให้หรือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ผู้รับการยกให้ที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนภาระจำยอมมาด้วย ศาลจึงพิพากษาให้เฉพาะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมในที่ดินของตนได้โดยไม่จำต้องเพิกถอนการให้
[16]คำพิพากษาฎีกาที่ 797/2498 เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาทำนิติกรรมปลดหนี้ให้บุคคลที่ 3 ซึ่งเป็นแม่ลูกกันโดยที่ต่างก็รู้อยู่ว่าเป็นการทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบเจ้าหนี้ก็ชอบที่จะร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมปลดหนี้นั้นเสียได้ การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องแก่บุคคลที่ 3อันเป็นเหตุให้เจ้าหนี้เสียประโยชน์เจ้าหนี้ย่อมร้องแทนลูกหนี้ได้
[17] คำพิพากษาฎีกาที่ 3180/2540 โจทก์มีเจตนาที่จะซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1ให้เสร็จเด็ดขาดไป เหตุที่ไม่ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในวันนัดเกิดจากการบิดพลิ้วของจำเลยที่ 1ที่ไม่ไปตามกำหนดนัด ต่อมาจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งทราบดีว่าจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่เคยบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแก่โจทก์ และตั้งแต่จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทมาจนกระทั่งขายให้จำเลยร่วมทั้งสอง จำเลยที่ 2 ไม่เคยมีโฉนดที่ดินพิพาทอยู่ในความครอบครองแทน ผิดปกติวิสัยผู้ที่ทำการซื้อขายที่ดินกันโดยทั่วไป ไม่น่าเชื่อว่ามีการซื้อขายกันโดยสุจริตการที่จำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 จึงเป็นการทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบเป็นการฉ้อฉลโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ผู้ได้ลาภงอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237หมายถึงผู้ที่เป็นคู่กรณีทำนิติกรรมกับลูกหนี้โดยตรงส่วนบุคคลภายนอกในมาตรา 238 เป็นผู้ที่ได้รับโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อจากผู้ทำนิติกรรมกับลูกหนี้ จำเลยร่วมทั้งสองเป็นผู้ได้รับโอนที่ดินพิพาทของลูกหนี้ต่อจากผู้ทำนิติกรรมกับลูกหนี้ จึงเป็นบุคคลภายนอกตามความหมายของมาตรา 238หาได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 237 ไม่
[18] คำพิพากษาฎีกาที่ 2345/2540 โจทก์มีคำขอให้เพิกถอนการโอนหุ้นระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 และให้ดำเนินการโอนหุ้นกลับให้จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของหุ้นตามเดิม แม้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 คบคิดกันโอนหุ้นตามคำฟ้องโดยฉ้อฉล อันทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา237 ก็ตาม แต่การให้เพิกถอนการโอนหุ้นรายนี้ย่อมกระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งได้รับโอนหุ้นต่อไปเป็นทอด ๆ อันเป็นการบังคับคดีต่อบุคคลภายนอกซึ่งมิได้ถูกฟ้องเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ด้วย ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นได้
[19] ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 238 บัญญัติว่า
"การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้นไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอก อันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน
อนึ่งความที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าสิทธินั้นได้มาโดยเสน่หา"